บทความนี้นำเสนอศัพท์ 7 คำสำคัญที่มีอิทธิพลต่อ“คุณภาพของประชาธิปไตย” การทำความเข้าใจคำเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจถึงความท้าทายที่พวกเราและการเมืองของพวกเรากำลังเผชิญอยู่ มาเริ่มที่คำแรกกันเลย
1. การสร้างความเข้มแข็งของระบอบอำนาจนิยม (Authoritarian consolidation) 🏰
- ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเล่นเกมบอร์ดเกมส์แล้วเพื่อนคุณพยายามเปลี่ยนกฎทุกครั้งที่เขาเสียเปรียบ นั่นแหละคือ “การสร้างความเข้มแข็งของระบอบอำนาจนิยม” มันเป็นวิธีที่ผู้นำอำนาจนิยมพยายามทำให้อำนาจของตัวเองมั่นคงขึ้น โดยใช้วิธีต่างๆ เช่น ควบคุมสื่อ กดดันฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่แก้กฎหมายให้เอื้อต่อตัวเอง
- ในโลกการเมืองจริง เราอาจเห็นรัฐบาลออกกฎหมายจำกัดเสรีภาพสื่อหลังจากยุบพรรคฝ่ายค้าน หรือแต่งตั้งพรรคพวกมานั่งในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น กรรมการการเลือกตั้งหรือศาลรัฐธรรมนูญ บางทีอาจถึงขั้นใช้กฎหมายความมั่นคงจับกุมนักเคลื่อนไหวที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
- เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน นั่นแหละ เขาอาจกำลังพยายามสร้างความเข้มแข็งให้ระบอบอำนาจนิยมเหมือนกับที่เพื่อนคุณพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบและอยู่รอดในบอร์ดเกมนั้น
2. การถดถอยของประชาธิปไตย (Democratic backsliding) 🌱
- คิดถึง “ประชาธิปไตย” ว่าเหมือนต้นไม้ที่ต้องดูแลรดน้ำพรวนดิน ถ้าเราละเลย ต้นไม้มันก็จะค่อยๆ เหี่ยวแห้ง การถดถอยของประชาธิปไตยก็คล้ายๆ กัน มันเป็นกระบวนการที่ประเทศค่อยๆ สูญเสียความเป็นประชาธิปไตยไปทีละนิด จนบางทีเราอาจไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ
- “การถดถอย” ที่ว่านี้ สังเกตได้จากการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์ หรือการแทรกแซงสื่อโดยรัฐบาลควบคุมเนื้อหาข่าวที่นำเสนอ นอกจากนี้ ยังอาจเห็นการบั่นทอนความเป็นอิสระขององค์กรตรวจสอบ เช่น ลดอำนาจของ ป.ป.ช. หรือการลดทอนความเป็นธรรมในกระบวนการเลือกตั้ง เช่น การแก้กฎหมายเลือกตั้งให้เอื้อประโยชน์ต่อพรรคใหญ่
- ลองนึกภาพว่าวันนี้มีการจำกัดการชุมนุม อีกเดือนมีการแก้กฎหมายเลือกตั้งแปลกๆ แล้วองค์กรอิสระก็ถูกตัดงบ ระวังไว้เลย ประชาธิปไตยของเราอาจกำลังค่อยๆถดถอยก็ได้นะ
3. การลิดรอนสิทธิทางการเมือง (Disenfranchisement) 🚫
- ลองนึกภาพว่าคุณอยู่ในห้องเรียนที่กำลังจะโหวตเลือกสถานที่ไปทัศนศึกษา แต่กลับมีกฎแปลกๆ ออกมา เช่น ครูประกาศว่านักเรียนที่เคยถูกทำโทษต้องยืนรอนอกห้อง ไม่มีสิทธิ์โหวต นักเรียนที่ย้ายมาใหม่ต้องมีเอกสารพิเศษที่ขอยากและใช้เวลานานกว่าจะได้ถึงจะมีสิทธิออหความเห็นได้ เด็กจากห้องเรียนอื่นที่มีความเห็นต่างถูกย้ายไปโหวตที่อาคารอีกฝั่งของโรงเรียน ทำให้ไปลำบาก และครูยังบอกว่าคนที่ได้คะแนนเฉลี่ยไม่ถึง 3.00 ไม่มีสิทธิโหวตเพราะ “ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ดีพอ”
- ในโลกการเมืองจริง การลิดรอนสิทธิทางการเมืองก็คล้ายๆ กัน แต่มีผลกระทบรุนแรงกว่ามาก อาจเกิดขึ้นในรูปแบบของการออกกฎหมายที่ทำให้คนบางกลุ่ม เช่น คนยากจนหรือชนกลุ่มน้อย ลงทะเบียนเลือกตั้งได้ยากขึ้น บางครั้งอาจมีการย้ายหน่วยเลือกตั้งไปไกลจากชุมชนที่มักไม่สนับสนุนรัฐบาล ทำให้การไปใช้สิทธิเลือกตั้งยากลำบาก หรือแม้แต่การยุบพรรคการเมืองที่มีแนวคิดต่างจากรัฐบาล ทำให้ผู้สนับสนุนพรรคนั้นไม่มีตัวแทนในสภา
- เมื่อคุณรู้สึกว่าเสียงของคุณไม่ได้รับการรับฟังหรือไม่มีใครเป็นตัวแทนความคิดของคุณในระบบการเมือง นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังโดนลิดรอนสิทธิทางการเมืองแล้วล่ะ
4. ระบอบอำนาจนิยมที่มีการเลือกตั้ง (Electoral authoritarianism) ⚽️
- นึกถึงการแข่งฟุตบอลที่กรรมการเข้าข้างทีมใดทีมหนึ่งอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ยังจัดการแข่งขันอยู่ นี่แหละคือระบอบอำนาจนิยมที่มีการเลือกตั้ง คือมันมีการจัดเลือกตั้งจริง แต่ทุกอย่างถูกควบคุมให้ฝ่ายที่มีอำนาจอยู่แล้วได้เปรียบ เหมือนกับการแข่งฟุตบอลที่กรรมการให้ใบแดงนักเตะทีมคู่แข่งบ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลชัดเจนหรืออนุญาตให้ทีมที่กรรมการเชียร์เตะจุดโทษบ่อยกว่าปกติ
- ในทางการเมือง เราอาจเห็นรัฐบาลใช้เงินหลวงแจกชาวบ้านก่อนเลือกตั้งเพื่อซื้อคะแนนเสียง การที่สื่อถูกควบคุมให้นำเสนอข่าวแต่ด้านบวกของรัฐบาลและโจมตีฝ่ายค้านอย่างหนัก การใช้กฎหมายความมั่นคงจับกุมแกนนำพรรคฝ่ายค้านก่อนการเลือกตั้ง หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งถูกแทรกแซงให้ตัดสิทธิผู้สมัครฝ่ายค้านด้วยข้อหาที่ไม่ชัดเจน
- ถ้าคุณเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแม้จะมีการเลือกตั้ง นั่นอาจไม่ใช่การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมแล้วล่ะ
5. ประชาธิปไตยที่ไม่เสรีนิยม (Illiberal democracy) 🗳️
- คิดถึงห้องเรียนที่ครูให้นักเรียนโหวตว่าจะทำอะไร พอเสียงส่วนใหญ่เลือกแล้ว ครูก็บังคับให้ทุกคนต้องทำตามโดยไม่สนใจความเห็นของคนกลุ่มน้อยเลย นี่แหละคือประชาธิปไตยที่ไม่เสรีนิยม คือมันมีการเลือกตั้งจริง รัฐบาลมาจากเสียงข้างมากจริง แต่สิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยเฉพาะคนกลุ่มน้อยหรือฝ่ายค้านกลับถูกจำกัด โดยมักอ้างเสียงส่วนใหญ่เป็นความชอบธรรมสูงสุด
- ตัวอย่างเช่น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจยุบพรรคฝ่ายค้านที่วิจารณ์ตัวเอง ออกกฎหมายจำกัดการแสดงออกของกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย บางทีอาจใช้นโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มใหญ่แต่ละเลยสิทธิของชนกลุ่มน้อย หรือจำกัดเสรีภาพสื่อโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามความต้องการของคนส่วนใหญ่
- ลองจินตนาการว่าในการเลือกตั้ง พรรค A ชนะด้วยคะแนนเสียง 60% และได้เป็นรัฐบาล หลังจากนั้น พรรค A ออกกฎหมายห้ามการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลในที่สาธารณะ โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่เลือกพวกเขามา นี่คือตัวอย่างของประชาธิปไตยที่ไม่เสรีนิยม เพราะแม้รัฐบาลจะมาจากการเลือกตั้ง แต่กลับละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
6. การทำให้การเมืองเป็นเรื่องของศาล (Judicialization of politics) ⚖️
- ลองนึกภาพว่าทุกครั้งที่มีข้อขัดแย้งในหมู่เพื่อน แทนที่จะคุยกันเอง แต่กลับต้องให้ครูมาตัดสินทุกเรื่อง อันนี้ก็คล้ายๆ กับการทำให้การเมืองเป็นเรื่องของศาลนั้นแหละ มันเป็นสถานการณ์ที่ศาลเข้ามามีบทบาทตัดสินประเด็นทางการเมืองบ่อยขึ้นและมากขึ้น ปัญหาทางการเมืองที่ควรแก้ไขผ่านกระบวนการทางการเมืองหรือนโยบายสาธารณะกลับถูกนำไปสู่การพิจารณาของศาล ก็เลยทำให้ศาลกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางทางการเมืองและสังคมไปเลยซะงั้น
- ยกตัวอย่าง ศาลตัดสินว่าพรรคการเมืองไหนควรถูกยุบ ศาลเป็นคนตีความว่านโยบายของรัฐบาลขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือศาลเข้ามาตัดสินว่าการชุมนุมทางการเมืองแบบไหนถูกกฎหมาย
- ลองจินตนาการว่ามีการเสนอกฎหมายเพื่อปฏิรูประบบการศึกษา แต่เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้าน ซึ่งแทนที่จะมีการอภิปรายและหาทางออกในรัฐสภา (ด้วยกระบวนการรัฐสภา) กลับมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากฎหมายนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ แบบนี้ก็เลยทำให้ศาลกลายเป็นผู้ตัดสินอนาคตของระบบการศึกษาแทนที่จะเป็นผู้แทนประชาชน นี่แหละคือการทำให้การเมืองเป็นเรื่องของศาล
7. การทำให้ศาลเป็นเรื่องการเมือง (Politicization of judiciary) 🏛️
- ในทางกลับกันนะ ถ้าคุณเห็นนักการเมืองพยายามแทรกแซงการทำงานของศาล นั่นคือการทำให้ศาลเป็นเรื่องการเมือง เหมือนกับการที่นักฟุตบอลพยายามเข้าไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินของกรรมการ แต่ในกรณีนี้คือฝ่ายการเมืองพยายามแทรกแซงหรือมีอิทธิพลต่อการทำงานของศาลและมีความพยายามใช้ศาลเป็นเครื่องมือทางการเมือง แน่นอนว่ามันส่งผลให้ความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมลดลง
- ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ รัฐบาลพยายามแต่งตั้งผู้พิพากษาที่เห็นด้วยกับแนวคิดทางการเมืองของตนให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ นักการเมืองวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลอย่างรุนแรงเมื่อไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตน มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากขึ้นในการแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้พิพากษา หรือใช้สื่อที่สนับสนุนรัฐบาลโจมตีผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายรัฐบาล
- สมมติว่ามีคดีทุจริตใหญ่เกี่ยวกับนักการเมืองระดับสูง ก่อนศาลจะตัดสิน รัฐบาลรีบออกกฎหมายให้ตนเองมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนผู้พิพากษาได้ง่ายขึ้น พร้อมส่งสัญญาณว่าถ้าตัดสินไม่ดี อาจมีผลต่อตำแหน่งของผู้พิพากษา การกระทำเหล่านี้ทำให้ความเป็นอิสระของศาลลดลง และทำให้ศาลกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง แทนที่จะเป็นสถาบันยุติธรรมที่เป็นกลาง นี่แหละคือ "การทำให้ศาลเป็นเรื่องการเมือง"
หวังว่าทั้ง 7 คำนี้จะช่วยให้เราเข้าใจการเมืองไทยได้มากขึ้น 💡
อย่าลืมนะ การเมืองไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองหรือผู้ใหญ่เท่านั้น การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน 👨👩👧👦🤝
การเมืองคือวิถีชีวิต 🌟🗳️
อ่านเพิ่มเติม
Bermeo, N. (2016). On democratic backsliding. Journal of democracy, 27(1), 5-19.
Blauberger, M., & Martinsen, D. S. (2020). The Court of Justice in times of politicisation:‘law as a mask and shield’revisited. Journal of
European Public Policy, 27(3), 382-399.
Bogaards, M. (2009). How to classify hybrid regimes? Defective democracy and electoral authoritarianism. Democratization, 16(2), 399-423.
Ferejohn, J. (2002). Judicializing politics, politicizing law. Law and contemporary problems, 65(3), 41-68.
Göbel, C. (2011). Authoritarian consolidation. European political science, 10, 176-190.
Uggen, C., & Manza, J. (2002). Democratic contraction? Political consequences of felon disenfranchisement in the United States.
American sociological review, 67(6), 777-803.
Zakaria, F. (1997). The rise of illiberal democracy. Foreign Aff., 76, 22.