Published by Crackers Books,

20 March 2024

https://crackersbooks.com/blogs


โธมัส ฮ็อบส์ (ตอน 2): ว่าด้วยสภาวะธรรมชาติของมนุษย์


ศิลปะ เดชากุล

สำนักพิมพ์ Crackers Books



เกริ่นนำ


ทำไมต้องศึกษาโธมัส ฮ็อบส์ (?) จากความเดิมของตอนที่แล้วผู้เขียนได้อธิบายถึงศาสตร์วิชาที่ว่าด้วยปรัชญาการเมืองรวมไปถึงได้อธิบายถึงสังเขปชีวประวัติในบางประการของฮ็อบส์ อย่างไรก็ตามการนำเสนอในตอนที่ 2 นี้ ผู้เขียนจะชวนผู้อ่านมาย้อนพินิจว่า ทำไมต้องศึกษาฮ็อบส์ การศึกษาความคิดของโธมัส ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes) (ค.ศ.1588-1679) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจพื้นฐานของปรัชญาการเมืองในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญของศาสตร์วิชานี้ ฮ็อบส์ได้แสดงทัศนะของเขาเรื่องทฤษฎีสัญญาประชาคม (The Social Contract Theory) และมุมมองของเขาเกี่ยวกับสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ ผ่านผลงานชิ้นสำคัญของเขาที่มีชื่อว่า Leviathan ฮ็อบส์ได้อภิปรายถึงความจําเป็นในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยอํานาจอธิปไตยที่แข็งแกร่ง


ว่าด้วยสภาวะธรรมชาติ


แนวคิดเรื่องสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ถือเป็นประเด็นหลักของปรัชญาการเมืองมาโดยตลอดและนักคิดต่างๆ ได้เสนอมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับแง่มุมพื้นฐานของการอยู่รอดของมนุษย์ มุมมองที่โดดเด่นประการหนึ่ง คือมุมมองของ โธมัส ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองผู้โด่งดังชาวอังกฤษ ได้นำเสนอมุมมองผ่านงานชิ้นสำคัญของเขา Leviathan (1651) ฮอบส์มองว่าสภาวะธรรมชาติของมนุษย์เป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามและความโกลาหลที่ไม่มีวันสิ้นสุด ในมุมมองของเขารัฐมีความวุ่นวายโดยธรรมชาติและมีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้ง โดยที่ปัจเจกบุคคลแสวงหาผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่มีอำนาจอันครอบคลุมในการรักษาสันติภาพและความสงบเรียบร้อย (Hobbes, 1651)


ในทางตรงกันข้าม จอห์น ล็อก (John Locke) บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งในวงการปรัชญาการเมือง ได้นำมุมมองที่ละเอียดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ในงานที่มีชื่อว่า Second Treatise of Government (1689) ล็อกเสนอว่าในสภาวะธรรมชาติ ปัจเจกบุคคลย่อมมีสิทธิตามธรรมชาติทั้งในชีวิต (Life) เสรีภาพ (Liberty) และทรัพย์สิน (Property) ล็อคจินตนาการถึงสภาวะธรรมชาติที่สงบสุขซึ่งแตกต่างจากฮอบส์ โดยที่บุคคลต่างๆสมัครใจก่อตั้งสังคมการเมืองเพื่อรักษาสิทธิของตนเองให้ดีขึ้น และจัดตั้งรัฐบาลที่มีความยุติธรรม (Locke, 1689)


อย่างไรก็ตาม ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) ได้นำเสนอในมุมมองของเขาผ่านงานที่มีชื่อว่า The Social Contract (1762) รุสโซโต้แย้งว่าสภาวะธรรมชาติของมนุษย์คือเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน เขาเชื่อว่าทรัพย์สินส่วนตัวทําให้เกิดความไม่เสมอภาค และความขัดแย้งทางสังคม รุสโซเชื่อว่าในสภาวะธรรมชาติ แต่ละบุคคลสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยปราศจากการอยู่ภายใต้บรรทัดฐานทางสังคมที่นําไปสู่การแบ่งแยก และลําดับชั้น (Rousseau, 1762) ในศตวรรษที่ 19 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มิลล์ได้อธิบายถึงสภาวะธรรมชาติผ่านงานชิ้นสำคัญของเขาที่มีชื่อว่า On Freedom (1859) เขาสนับสนุนเสรีภาพส่วนบุคคลและต่อต้านรัฐบาลที่แทรกแซงชีวิตส่วนตัวเว้นเสียแต่จะป้องกันอันตรายจากผู้อื่นได้ เขาเน้นความสำคัญของการปกครองตนเอง (Atonomy) และการพัฒนาตนเอง (Self-development) มิลล์ชี้ให้เห็นว่าบุคคลควรมีเสรีภาพในการเดินบนเส้นทางของตนเองในขอบเขตที่ไม่ทำร้ายผู้อื่น (John Stuart Mill, 1859)


คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) บุคคลสำคัญในแวดวงปรัชญาการเมือง และเศรษฐศาสตร์การเมือง เขาได้นำเสนอจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนของเขาผ่านงานที่มีชื่อว่า The Communist Manifesto (1848) และ Das Kapital (1867) มาร์กซ์มองว่าสภาวะธรรมชาติมีลักษณะเป็นวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์และปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ทางสังคม เขามองว่าระบบทุนนิยมนั้น โดยธรรมชาติก่อให้เกิดการต่อสู้และเอารัดเอาเปรียบทางชนชั้น มาร์กซ์สนับสนุนการปฏิวัติสังคมไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อให้ได้สภาวะธรรมชาติที่เป็นธรรมมากขึ้น (Karl Marx 1848: 1867)


เข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 20 จอห์น รอว์ลส์ (John Rawls) ได้นำเสนอแนวคิดของเขาผ่านหนังสือที่มีอิทธิพลชื่อว่า A Theory of Justice (1971) ทฤษฎีของรอว์ลส์ มุ่งกำหนดหลักความยุติธรรมที่ปัจเจกบุคคลเห็นพ้องต้องกันภายใต้ม่านแห่งความไม่รู้ ที่ไม่รู้ลักษณะและสถานการณ์เฉพาะของตนเอง ด้วยวิธีนี้เองเขาพยายามสร้างโครงสร้างทางสังคมที่ยุติธรรมและเป็นธรรม (fair and justice structure) ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนอย่างมีเหตุผลและเป็นธรรม (John Rawls, 1971) ในทางตรงกันข้าม โรเบิร์ต โนซิก (Robert Nozik) ได้วิพากษ์วิจารณ์รอลว์ลส์ผ่านงานของเขาที่มีชื่อว่า Anarchy, State, and Utopia (1974) เขาได้โต้แย้งรอว์ลส์ และชี้ให้เห็นว่าการแจกจ่ายความมั่งคั่งใดๆก็ตามเป็นการละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล โนซิกสนับสนุนความสำคัญของเสรีภาพส่วนบุคคล การแลกเปลี่ยนโดยสมัครใจ และการคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัว (Robert Nozik, 1974)


กล่าวโดยสรุป มุมมองเกี่ยวกับสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ในปรัชญาการเมืองนั้นแตกต่างกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่วิสัยทัศน์ของรุสโซเกี่ยวกับเสรีภาพและความเท่าเทียม ไปจนถึงการวาดภาพของฮอบส์เกี่ยวกับการดำรงอยู่อันวุ่นวายและโหดร้าย รวมไปถึง จอห์น ล็อก (John Locke) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) จอห์น รอว์ลส์ (John Rawls) และโรเบิร์ต โนซิก (Robert Nozik) นักคิดทั้งหลายเหล่านี้ต่างได้นำเสนอมุมมองนานาประการ ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนในประเด็นต่างๆ อาทิเรื่องธรรมชาติของมนุษย์รวมไปถึงประเด็นโครงสร้างทางสังคม เป็นต้น ประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพรวมโดยสังเขปของความหมายที่ว่าด้วยสภาวะธรรมชาติของมนุษย์


สภาวะธรรมชาติของมนุษย์ตามมุมมองของฮ็อบส์


แม้ว่าส่วนก่อนหน้าผู้เขียนจะชี้ให้เห็นถึงนักคิดต่างๆ ที่นำเสนอมุมมองเรื่องสภาวะธรรมชาติในแบบของตน อย่างไรก็ตามในส่วนนี้ผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอมุมมองที่ว่าด้วยสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ของฮ็อบส์ในบางประการ โธมัส ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 17 นำเสนอมุมมองของเขาเกี่ยวกับสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ในงานเขียนชื่อ Leviathan ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1651 (Hobbes, 1651) มุมมองของเขาเป็นพื้นฐานของปรัชญาการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดที่ว่าด้วยสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ สัญญาประชาคม (Social Contract) และอำนาจรัฎฐาธิปัตย์ (Sovereignty) ฮอบส์ใช้วิธี การทดลองทางความคิด (Thought Experiment) วิธีดังกล่าวจะไม่ใช่การเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์แบบนักประวัติศาสตร์ หรือสืบค้นผ่านหลักฐานทางโบราณคดีแบบกลุ่มนักโบราณคดี หากแต่วิธีดังกล่าวนี้จะเป็นวิธีจินตนาการโดยใช้เหตุผลถึงพฤติกรรมของมนุษย์ว่าถ้าหากพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐ หรือสังคมการเมืองไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันเป็นอิสระ มนุษย์จะเป็นอย่างไรซึ่งสภาวะจำลองดังกล่าวนี้ ถูกเรียกว่า สภาวะธรรมชาติ (ศุภชัย ศุภผล, 2558)


ฮ็อบส์เริ่มต้นโดยการชี้ให้เห็นว่า แม้เหตุผลจะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์ หากแต่ความจริงส่วนใหญ่แล้วเราไม่อาจสรุปได้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ และสังคมมนุษย์บนพื้นฐานของเหตุผลจึงคาดเคลื่อน ฮ็อบส์เห็นว่าอันที่จริงแล้วสิ่งที่เป็นพื้นฐานคือ อารมณ์ความรู้สึก (Passion) ต่างหาก ในทำนองเดียวกันมนุษย์โดยส่วนใหญ่แล้วล้วนกระทำการตามแรงขับเคลื่อนของอารมณ์ความรู้สึกทั้งฝ่ายที่ต้องการ ซึ่งเรียกว่าความชอบ (Appetitle) และฝ่ายที่ไม่ต้องการ ซึ่งเรียกว่า ความชัง (Aversion) และสิ่งที่มนุษย์กำหนดว่าดี หรือเลวก็กำหนดตามความชอบ และความชังเพียงเท่านั้น ไม่มีความดีหรือความเลวที่เป็นหลักการนอกเหนือไปจากนี้ สิ่งที่มนุษย์กำหนดว่าดีหรือชั่ว น่ายกย่องหรือน่าดูแคลน หากแต่เป็นไปตามความชอบความชังของแต่ละคน พิจารณาจากประเด็นดังกล่าวนี้ อาจอธิบายได้ว่าฮ็อบส์เป็นนักสัมพัทธคติทางศีลธรรม ซึ่งมองว่าคุณค่าทางศีลธรรมนั้นไม่มีหลักสากลในตัวเองแต่อย่างใด ทว่าแปลผันไปตามบุคคล กาลเวลา สถานที่ และเกิดจากอารมณ์ความรู้สึกชอบ และชังเป็นสำคัญ ฮ็อบส์เห็นว่า อารมณ์ความรู้สึกผลักมนุษย์ และทำให้มนุษย์ทำการต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะความสงบใจถาวรนั้นไม่อาจมีได้ตราบที่มนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ ในเมื่อมนุษย์ต้องเคลื่อนไปตามอารมณ์ความรู้สึก ก็ย่อมต้องการบรรลุผลลัพธ์ตามแรงขับเคลื่อนนั้น และนี้นำมาซึ่งประเด็นเรื่อง อำนาจ ซึ่งฮ็อบส์ให้คำจำกัดความดังนี้ อำนาจของมนุษย์ คือเครื่องมือในปัจจุบันของเขา เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เห็นชัดว่าดีสำหรับอนาคต (Hobbes, 1651; วีระ สมบูรณ์, 2561)


ข้อสรุปของฮ็อบส์ได้กล่าวถึงสภาวะธรรมชาติก็คือสภาวะสงคราม (The state of war) และไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังเป็นสงครามที่มนุษย์ทุกคน (The war of every man against every man) ฮ็อบส์ขยายความว่าสภาวะสงครามในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเวลาที่มีการศึกสู้รบกันจริงๆ เท่านั้น ในทางตรงกันข้ามสภาวะสงครามจะดำรงอยู่ ตราบใดที่ยังไม่มีความมั่นคง และไม่มีความไว้วางใจกัน มนุษย์ต้องเตรียมความพร้อมที่จะรับมือการต่อสู้ แม้ในเวลาที่ปราศจากการสู้รบกันก็ตาม สภาวะสงครามของทุกคนต่อทุกคนย่อมทำให้ชีวิตปราศจากความมั่นคงใดๆ ต้องขึ้นอยู่กับพละกำลัง และการใช้กลยุทธ์ต่างๆ ภายใต้สภาวะเช่นนั้น ความอุตสาหะในการทำงานหาเลี้ยงชีพรวมไปถึงปัจจัยในการใช้ชีวิตอื่นๆ ก็มีไม่ได้ เพราะผลที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะตกอยู่แก่ผู้กระทำการนั้น และดังนั้นจึงไม่มีการทำเกษตรกรรม ไม่มีการเดินเรือ ไม่มีสินค้าพาณิชย์ ไม่มีโรงเรือน เป็นต้น ซึ่งหมายความว่า จะไม่มีอารยธรรมใดๆเกิดขึ้น และดำรงอยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ความหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง และภยันตรายของการตายด้วยความรุนแรง ทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลให้ ชีวิตมนุษย์โดดเดี่ยว ยากจน ขมขื่น โหด และสั้น ซึ่งประโยคดังกล่าวนี้เป็นประโยคที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งของฮ็อบส์ในเวลาต่อมา (Hobbes, 1651; วีระ สมบูรณ์, 2561)


โดยสรุป การศึกษาแนวคิดของโธมัส ฮ็อบส์ เรื่องสภาวะธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งประการดังกล่าวเป็นรากฐานสำหรับการทำความรู้ความเข้าใจ และเป็นพื้นฐานของทฤษฎีสัญญาประชาคม (The Social Contract Theory) ของเขา ฮ็อบส์เชื่อว่าหากไม่มีการปกครองที่มีอำนาจสภาวะธรรมชาติของมนุษย์จะเผชิญกับความวุ่นวาย ความขัดแย้ง จนนำไปสู่สภาวะสงครามในที่สุด การพยายามทำความเข้าใจแนวคิดประการดังกล่าวช่วยให้เราเห็นถึงความสำคัญของการปกครองที่เข้มแข็งเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้นก็เพื่อป้องกันความขัดแย้งโดยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ไม่มีอำนาจในการปกครอง

“… the life of men, solitaly, poor, nasty, brutish and short …” (Thomas Hobbes, Leviathan)

รายการอ้างอิง


วีระ สมบูรณ์. (2561). ทฤษฎีการเมืองกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. กรุงเทพมหานคร. เวย์ออฟบุ๊ค.


ศุภชัย ศุภผล. (2558). ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น. เชียงใหม่. คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.


Jean-Jacques Rousseau. (1762). The Social Contract. Project Gutenberg.

https://www.gutenberg.org/ebooks/46333


John Rawls. (1971). A Theory of Justice. United States of America. Harvard University Press.


John Stuart Mill. (1859). On Liberty. Project Gutenberg.

https://www.gutenberg.org/ebooks/34901

Karl Marx & Friedrich Engels. (1848). The Communist Manifesto. marxists.org.

https://www.marxists.org/archive/marx/works/1848/communist-manifesto/


Karl Marx. (1867). Das Kapital. marxists.org.

https://www.marxists.org/archive/marx/works/1867-c1/


Robert Nozik. (1974). Anarchy, State, and Utopia. Oxford. blackwell publishers.


Thomas Hobbes. (1651). Leviathan. Project Gutenberg. https://www.gutenberg.org/ebooks/3207


Thomas Hobbes. (N.d.). Michael Curtis (Edited). The Great Political Theories Volume 1. New

York. Avon Books.





Premium isolated images

พื้นที่ประชาสัมพันธ์

ขอเชิญรับฟัง Podcast จากสำนักพิมพ์ Crackers Books

และรับฟังทุกรายการได้ที่ crackersbooks.com/podcasts

Flat Youtube Icon

ติดต่อโฆษณา โทร 0953394114